พื้นที่ที่ดีไม่ใช่แค่สวย แต่ต้อง “ขับเคลื่อนศักยภาพคน” ให้ทำงานได้ดีที่สุด
จากประสบการณ์ยาวนานกว่า 5 ทศวรรษในการให้คำปรึกษาและออกแบบพื้นที่ทำงาน พร้อมแนะนำโซลูชันส์ให้กับองค์กรชั้นนำในหลากหลายอุตสาหกรรม ร้อกเวิธ (Rockworth) ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึก (Insight) และยึดหลักการออกแบบพื้นที่ทำงานตามหลัก Activity-Based Working (ABW) ซึ่งสรุปเป็นโหมดการทำงาน 5 โหมด ที่จะตอบโจทย์ทุกกิจกรรมการทำงานในยุคใหม่

“คนไม่ได้ทำงานแบบเดิมตลอดวัน”
ร้อกเวิธ เผย “สิ่งที่เราเรียนรู้จากการทำงานกับลูกค้ามาหลายร้อยองค์กร คือ คนไม่ได้ทำงานแบบเดิมตลอดวัน”
เช่น โปรแกรมเมอร์คนหนึ่ง วันทำงานในช่วงเช้าอาจต้องการพื้นที่เงียบ ๆ เพื่อเขียนโค้ด แต่บ่ายสองโมงอาจต้องร่วมประชุม สั้น ๆ กับทีม สามโมงอาจต้องโทรหาลูกค้า สี่โมงอาจต้องการนั่งในพื้นที่ส่วนกลางเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อคิดแก้ปัญหาที่ติดค้างมาตั้งแต่เช้า
แต่ที่ผ่านมา สำนักงานส่วนใหญ่ออกแบบแบบ ‘One-Size-Fits-All’ หรือแบบเหมารวม ด้วยการให้โต๊ะกับทุกคน แล้วคาดหวังว่าทุกคนจะนั่งทำงานที่โต๊ะตลอดวัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเลย
จากข้อสังเกตนี้ ร้อกเวิธจึงมุ่งมั่นในการนำหลักการ Activity-Based-Working มาใช้กับการออกแบบพื้นที่ทำงานตาม “กิจกรรม” ไม่ใช่ “ตำแหน่งงาน”
5 โหมดในการทำงาน ที่จำเป็นในออฟฟิศ
โหมดที่ 1: โหมดโฟกัส (FOCUS) – สำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิสูง
ปัญหาที่พบบ่อย: “ลูกค้าบ่อยครั้งบอกว่าพนักงานบ่นเรื่องเสียงดัง ทำงานที่ต้องคิดเยอะไม่ได้ บางคนต้องมาถึงออฟฟิศเช้ามากหรือกลับดึกเพื่อหาความเงียบ”
แนวทางแก้ปัญหา: จัดสรรพื้นที่ Focus อย่างน้อย 30-35% ของพื้นที่ทั้งหมด ประกอบด้วย:
- ห้องที่ไร้เสียงรบกวน (Quiet Room/ Silent Zone)
- ตู้เก็บเสียง (Phone Booth) สำหรับโทรศัพท์หรือประชุมออนไลน์ส่วนตัว
- โต๊ะทำงานส่วนตัวที่มาพร้อมระบบกันเสียง
เคล็ดลับจากร้อกเวิธ: “ใช้แผ่นซับเสียง (Acoustic Panel) และเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยดูดซับเสียง การลงทุนในเครื่องมือที่สามารถบริหารจัดการเสียงได้ จะคุ้มค่ามาก เพราะช่วยให้พนักงานทำงานได้เร็วขึ้น”

โหมดที่ 2: โหมดการทำงานร่วมกัน (COLLABORATE) – สำหรับประชุมและทำงานร่วมกัน
ปัญหาที่พบบ่อย: “ห้องประชุมจองไม่ได้ หรือห้องใหญ่เกินไปสำหรับทีมเล็ก ๆ ทำให้คนต้องไปคุยกันที่โต๊ะ แล้วรบกวนคนที่กำลังใช้สมาธิกับการทำงาน”
แนวทางแก้ปัญหา: จัดสรร 25-30% ของพื้นที่ ประกอบด้วย:
- ห้องประชุมหลากหลายขนาด (เน้นห้องเล็ก 2-4 คน ให้มากกว่าห้องใหญ่)
- พื้นที่ทำงานร่วมกันแบบเปิดโล่ง (Open Collaboration Area) สำหรับการประชุมสั้น ๆ
- ห้องประชุมโครงการ (Project Room) สำหรับทีมที่ทำงานโครงการระยะยาว
เคล็ดลับจากร้อกเวิธ: “สัดส่วนห้องประชุมที่เราแนะนำคือ 60% ห้องเล็ก : 30% ห้องกลาง : 10% ห้องใหญ่ เพราะส่วนใหญ่การประชุมเป็นทีมเล็ก ๆ 2-4 คน มากกว่าประชุมใหญ่ 10-15 คน”

โหมดที่ 3: โหมดการเรียนรู้ (LEARNING) – สำหรับเรียนรู้และพัฒนาทักษะ
ปัญหาที่พบบ่อย: “องค์กรหลายแห่งบอกว่าอยากให้พนักงานพัฒนาทักษะ แต่ไม่มีพื้นที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้”
แนวทางแก้ปัญหา: จัดสรร 10-15% ของพื้นที่ ประกอบด้วย:
- ห้องฝึกอบรม (Training Room) พร้อมระบบภาพ เสียง (Audio Visual) และเฟอร์นิเจอร์ยืดหยุ่น
- ห้องสมุดหรือมุมที่รวบรวมเอกสารเพื่อการเรียนรู้
- ที่นั่งที่สบาย เหมาะสำหรับอ่านหนังสือหรือเรียนออนไลน์
ทำไมโหมดการเรียนรู้จึงสำคัญ: “พื้นที่การเรียนรู้ ไม่ได้ใช้บ่อยทุกวัน แต่แสดงให้เห็นว่าองค์กรให้ความสำคัญกับการพัฒนาพนักงาน ซึ่งช่วยเรื่องการสะท้อนตัวตนแบรนด์และการใส่ใจในการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง”

โหมดที่ 4: โหมดการเข้าสังคม (SOCIALIZE) – สำหรับพักผ่อนและสร้างเครือข่ายในองค์กร
ปัญหาที่พบบ่อย: “พนักงานไม่ค่อยรู้จักคนต่างทีม วัฒนธรรมองค์กรไม่ชัดเจน ทำงานแบบ Silo ไม่เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน”
แนวทางแก้ปัญหา: จัดสรร 15-20% ของพื้นที่ ประกอบด้วย:
- ห้องครัวหรือมุมกาแฟแบบพื้นที่เปิด และบรรยากาศดี น่านั่ง
- พื้นที่รับรองหรือพื้นที่ส่วนกลาง
- พื้นที่เพื่อสันทนาการร่วมกัน เช่น พื้นที่สำหรับเล่นบอร์ดเกม
- พื้นที่ด้านนอกอาคาร (ถ้ามี)
เคล็ดลับจากร้อกเวิธ: “พื้นที่สำหรับการเข้าสังคม ไม่ใช่การเสียพื้นที่ แต่เป็นการลงทุนในวัฒนธรรมและนวัตกรรม เพราะ นวัตกรรมหลาย ๆ อย่างเกิดจากการได้พูดคุยทั่วไป ไม่ใช่ในห้องประชุม”
ตัวอย่าง: “เรามีลูกค้าหลายรายเล่าว่า ไอเดียดี ๆ ของทีมมักเกิดจากการคุยกันที่มุมกาแฟมากกว่าในห้องประชุม”

โหมดที่ 5: โหมดพักผ่อน (RELAX) – สำหรับผ่อนคลายและชาร์จพลังร่างกาย
ปัญหาที่พบบ่อย: “พนักงานรู้สึกหมดไฟ (Burnout) ไม่มีที่ให้พักผ่อนจริง ๆ นอกจากโต๊ะทำงาน”
แนวทางแก้ปัญหา: จัดสรร 5-10% ของพื้นที่ ประกอบด้วย:
- ห้องเงียบหรือห้องบำบัดฟื้นฟู
- ห้องทำสมาธิหรือสำหรับเล่นโยคะ
- ห้องงีบ (สำหรับนอนพักสั้น ๆ 15-20 นาที)
- ห้องสวดมนต์หรือห้องรับรองสำหรับผู้มีศาสนาต่าง ๆ
ผลตอบรับจากลูกค้า: “ตอนแรกหลายองค์กรไม่เห็นความจำเป็น แต่พอได้ทดลอง พนักงานชื่นชอบมาก และรู้สึกว่าองค์กรใส่ใจเรื่องความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ของเขาจริง ๆ”
เทรนด์: “Gen Z และ Millennials ที่กำลังเป็นกำลังแรงงานหลักให้ความสำคัญกับสุขภาวะมากขึ้น การมีพื้นที่พักผ่อนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างและรักษาภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรในฐานะนายจ้าง (Employer Branding) ทำให้เป็นที่ดึงดูดในกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น”

สรุป: ABW คืออนาคตของการออกแบบพื้นที่ทำงาน
ในท้ายที่สุด พื้นที่ทำงานที่ดีไม่ได้วัดกันที่ความสวยงาม แต่อยู่ที่การตอบโจทย์ทุกช่วงเวลาของคนทำงานจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ต้องการความเงียบเพื่อเขียนโค้ด ต้องการพื้นที่ระดมสมองกับทีม หรือแค่อยากหาที่พักสักนิดก่อนกลับมาทำงานต่อ นี่คือหลักการสำคัญของ Activity-Based Working (ABW) หรือการออกแบบพื้นที่รอบ ๆ สิ่งที่คนทำจริง ไม่ใช่ที่ที่พวกเขานั่ง
เมื่อองค์กรยอมรับ ABW และออกแบบพื้นที่ตาม “กิจกรรม” มากกว่า “ตำแหน่งงาน” สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น แต่คือวัฒนธรรมที่คนอยากอยู่ อยากทำงาน และพร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ร่วมกัน Activity-Based Working เข้าใจว่างานที่แตกต่างกันต้องการสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน และด้วยการจัดหาพื้นที่ที่หลากหลายเหล่านี้ บริษัทจึงปลดล็อกศักยภาพเต็มที่ของพนักงานได้
เราเชื่อว่าเทคโนโลยีอาจเปลี่ยน วิธีการทำงานอาจเปลี่ยน แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ “คนต้องการพื้นที่ที่ช่วยให้ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพและมีความสุข” ABW ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในการคิดเกี่ยวกับการออกแบบพื้นที่ทำงาน
พื้นที่ทำงานจึงไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่เป็นการลงทุนในคน และคนคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร ด้วยการนำหลักการ Activity-Based Working มาใช้ องค์กรสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้แค่เป็นที่อยู่ของพนักงาน แต่เป็นที่ที่เสริมพลังให้พวกเขาทำงานได้ดีที่สุดทุกวัน
ติดต่อร้อกเวิธ:
- 📱 Facebook: Rockworth
- 📱 LINE Official: @rockworth
- 💼 LinkedIn: Rockworth Thailand